Establishment of lightness (L*) – whiteness (W) relationship of Thai

จัดทำโดย สยุมพร เสียงสัมพันธ์

สาขา เทคโนโลยีการพิมพ์

ปีการศึกษา 2558


บทคัดย่อ (Abstract)

การหาค่าความสัมพันธ์ระหว่าง Lightness (L*) กับ Whiteness (W) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการหาค่าความสัมพันธ์ระหว่าง Lightness (L*) กับ Whiteness (W) วิธีการศึกษาจะใช้แถบสีเทาที่มีความแตกต่างกัน 16 ระดับ เพื่อใช้เป็นสิ่งเร้าในการทดลองประเมินค่าความสว่าง Whiteness (W) ในการหาค่าความสัมพันธ์กับค่าความสว่าง L* ของแถบสีเทาที่ส่งผลต่อการรับรู้ โดยการทดลองจะทำการวัดค่า L* ของแถบทดสอบทั้ง 16 ระดับ และให้ผู้สังเกตประเมินค่าความสว่างของแถบสีเทาด้วยวิธี Elementary color naming ด้วยการประเมินเปอร์เซ็นต์ค่าความเป็นสีขาว W%และเปอร์เซ็นต์ค่าความเป็นสีดำ BK% ของแถบสีเทาด้วยวิธีการสุ่มและควบคุมความสว่างของห้องทดลองไว้ที่ 906.9 ลักซ์ และใช้ผู้สังเกตจำนวน 15 คน แต่ละคนมีการทำซ้ำ 5 ครั้ง
ผลการศึกษาพบว่า สมการแปลงค่าความสว่าง W% เป็น L* ด้วย W = 1.3936L* -27.633 และมีข้อเสนอแนะสำหรับการทดลองในครั้งต่อไปด้านการเพิ่มจำนวนผู้สังเกตให้มากขึ้น เนื่องจากการทดลองในลักษณะนี้เป็นการหาค่ามาตรฐานการมองเห็น ยิ่งใช้ผู้สังเกตมากเท่าไหร่ก็จะทำให้ได้ค่าที่น่าเชื่อถือมากขึ้น ประกอบกับการเพิ่มความแตกต่างของระดับสีเทาให้มากขึ้นทั้งโซนสีขาว และโซนสีดำ เป็นต้น

คำสำคัญ: แถบสีเทา, วิธีบอกองค์ประกอบค่าสี, ความสว่าง W, ความสว่าง L*, มาตรฐานการมองเห็น


วัตถุประสงค์ของการศึกษา

เพื่อศึกษาการหาค่าความสัมพันธ์ระหว่าง ความสว่าง lightness L* กับ whiteness (W)

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

  1. ได้รู้ถึงระดับค่าความสว่างที่มีความเหมาะสมกับการมองเห็นภายใต้แสงเดียวกัน
  2. ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง lightness – whiteness ที่มีความเหมาะสมกับผู้สังเกต

ขอบเขตของการศึกษา

การหาค่าความสัมพันธ์ระหว่าง ความสว่าง Lightness L* กับ Whiteness (W) โดยในการศึกษาจะใช้แถบสีเทา (Grayscale) ที่มีระดับแตกต่างกัน 16 ระดับ ของ Munsell เพื่อใช้เป็นสิ่งเร้าในการทดลองประเมินค่าความสว่าง whiteness (W) ในการหาค่าความสัมพันธ์กับค่าความสว่าง L* ของแถบสีเทาที่ส่งผลต่อการรับรู้ โดยการทดลองจะทำการวัดค่า L* ของแถบทดสอบทั้ง 16 แถบ และให้ผู้สังเกตประเมินค่าความสว่างด้วยวิธี Elementary color naming ของแถบสีเทาด้วยวิธีการสุ่มและควบคุมความสว่างของห้องทดลองที่ 906.9 ลักซ์ และใช้ผู้สังเกตจำนวน 17 คน แต่ละคนมีการทำซ้ำ 5 ครั้ง

คำนิยามศัพท์เฉพาะ

  1. Lightness, L*   ความสว่าง
  2. Whiteness, W   ค่าความเป็นสีขาว
  3. Blackness, Bk   ค่าความเป็นสีดำ
  4. B%   เปอร์เซ็นต์ของค่าความเป็นสีดำ
  5. W%   เปอร์เซ็นต์ของค่าความเป็นสีขาว
  6. Elementary Color Naming Method   วิธีการประเมินค่าสี
  7. NCS   ระบบสีเอ็นซีเอส
  8. Illuminometer   เครื่องวัดค่าความสว่าง
  9. Spectrodensitometer   เครื่องวัดค่าความเป็นสี
  10. Grayscale   แถบสีเทา

สรุปผล

การศึกษาเรื่อง “การหาค่าความสัมพันธ์ระหว่าง lightness (L*) กับ whiteness (W%)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะศึกษาหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างความสว่าง L* กับ W% จากการทดลองได้กำหนดค่าความสว่างภายในห้องทดลองไว้ที่ 906.9 ลักซ์ ตลอดการทดลองทั้ง 5 ซ้ำ โดยแถบสีเทาจะมีระดับความสว่างที่แตกต่างกันทั้งหมด 16 ระดับ และให้ผู้สังเกตประเมินค่าความสว่างของแผ่นทดสอบด้วยวิธี Elementary color naming ด้วยการประเมินค่าความเป็นสีขาว W% และค่าความเป็นสีดำ BK% จากผลการทดลองสามารถสรุปผลได้ ดังนี้

  1. ค่าความสว่าง W% และ L* มีความสัมพันธ์ในลักษณะเส้นตรงด้วยสมการ y = 1.3936 x – 27.633 ในขณะที่ y คือค่าความสว่าง W% และ x คือค่าความสว่าง L* ด้วยสมการดังกล่าวเราก็สามารถแปลงค่าการรับรู้ความสว่างที่รับรู้เป็นค่า L* เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆ เช่น การแต่งภาพให้มีความสว่างเหมือนกับที่เรามองเห็น เป็นต้น
  2. ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน SD ของผู้สังเกตแต่ละคนทั้ง 15 คน แสดงค่าเบี่ยงเบนที่น้อยซึ่งก็แสดงว่าผู้สังเกตมีการประเมินค่าความสว่างที่ใกล้เคียงกันในแต่ละครั้ง ทำให้ผลการทดลองที่ได้มีความน่าเชื่อถือ และในการทดลองผู้สังเกตส่วนใหญ่จะมีอายุอยู่ในช่วง 20-25 ปี และส่วนใหญ่เป็นผู้สังเกตที่ไม่มีความรู้ทางด้านการทดลองทางจิตวิทยาฟิสิกส์มาก่อน
  3. เมื่อนำผลการทดลองในครั้งนี้มาเปรียบเทียบกับผลการทดลองที่ผ่านมาของจันทร์ประภา และคณะฯ และกับระบบสี NCS พบว่ามีแนวโน้มในทิศทางเดียวกัน แต่มีข้อสังเกตที่ผลการทดลองในครั้งนี้จะแสดงการรับรู้ความสว่างของแถบสีเทาที่สูงกว่าของ NCS ผลการทดลองที่ได้ในครั้งนี้ทำให้ทราบความสัมพันธ์ระหว่างค่าความสว่างที่เรารับรู้ W% กับค่า L* ทำให้สามารถที่จะแก้ไขภาพที่ต้องการให้มีค่าความสว่างที่ใกล้เคียงกับที่เรารับรู้ได้

ข้อเสนอแนะ

  1. ควรมีการเพิ่มจำนวนผู้สังเกตให้มากขึ้น เพื่อให้ได้ความเที่ยงตรงของข้อมูลที่ได้จากทดลอง
  2. ควรมีการศึกษาการรับรู้ความสว่างในผู้สังเกตที่มีช่วงอายุที่แตกต่างกัน เช่น ข่วงอายุวัยรุ่น วัยกลางคน หรือผู้สูงอายุ เป็นต้น เพื่อทราบถึงความเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ความสว่างที่ส่งผลมาจากอายุ
  3. ระดับความสว่างแถบสีเทา ควรมีการเพิ่มให้มีความระดับความขาว และความดำที่มากขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลการรับรู้ที่จะเป็นขอบเขตของการรับรู้ความสว่างของการรับรู้ของมนุษย์ได้